วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

สูตรของเครื่องดื่มชูกำลัง





ราคา
บาท
น้ำตาล เทารีน
ทอรีน
(Taurine)
แคฟเฟอีน
กาเฟอีน
(caféine)
วิตามิน บี1 วิตามิน บี2 วิตามิน บี 3
ไนอะซิน
ไนอะซินาไมด์
นิโคตินาไมด์
(Niacinamide)
วิตามิน บี 5
เด็กซ์แพนธีนอล
กรดแพนโทเทนิก
(pantothenic acid) 
วิตามิน บี 7
ไบโอดีน
ไบโอติน
(biotin)
วิตามินเอช (vitamin H) 
วิตามิน บี 6
(Pyridoxine) 
วิตามิน บี 8
อิโนซิทอล
อินโนซิทอล
(Inositol)
วิตามิน บี 9
โฟลิค แอซิค
(Folic acid)
วิตามิน บี12 กรดมะนาว
กรดส้ม
กรดอะซิติก
อะซิติกแอซิด
Acetic Acid
อื่นๆ (1)
ลิโพวิตัน-ดี 12 ซูโครส 18 กรัม 1 กรัม 0.05 กรัม     20 มก. 5 มก.   5 มก. 50 มก.   5 มก. 0.5 กรัม กลูคูโรโนแลกโทน 0.4 กรัม
(Glucuronolactone) 
ลิโพ-พลัส 15 ซูโครส 24 กรัม 1.0 กรัม 50 มก. 0.5 มก.   20 มก.     4 มก. 50 มก.       น้ำผึ้ง 1.6 กรัม
กระทิงแดง 10 น้ำตาล 25.6 กรัม 800 มก. 50 มก.   3.2 มก. 20 มก. 5.5 มก.   3 มก. 30 มก.   7.5 มก. 1.5 ก. โฟลิค แอซิค 0.15 มก.
(Folic Acid)
//โคลีน 10 มก.
(Choline)วิตามิน บีรวม 
กระทิงแดง
ทีโอเปล็กซ์-แอล 
10 ซูโคลส 16.0 ก. 800 มก. 0.05 ก.     20 มก. 5 มก.   3 มก. 20 มก.     0.66 ก.  
คาราบาวแดง  10 ซูโครส 26.5 ก. 800 มก. 50 มก.     20 มก. 5 มก.   5 มก. 30 มก.   12 5 มก. 0.99 ก.  
M-150  10 ซูโครส 25 ก. 0.08 ก. 0.05 ก.     20 มก. 5 มก.   5 มก.          
M-150 STROM 15 น้ำตาล 24 ก.
เดกซ์โทรส 4 ก.
0.8 ก. 50 มก.     20 มก. 5 มก.   5 มก.          
ซุปเปอร์ ลูกทุ่ง 10 น้ำตาล 23.25 ก.   50 มก. 0.14 มก. 0.38 มก. 5.25 มก.   39 มก.     50 มก. 12 6 มก.   แอล-คาร์นิทีน 30 มก.(L-Carnitine)
















































































































































วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

แว่นตาอัจฉริยะ ช่วยให้คนตาบอดมองเห็นมากขึ้น

แว่นตาไฮเทค ช่วยให้ผู้พิการทางสายตา Smart glasses เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ oxford สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
Smart glasses ต้นแบบแว่นตาไฮเทค ช่วยให้ผู้พิการทางสายตามีโอกาสมองเห็นได้มากขึ้น ผลงานการพัฒนาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 เว็บไซต์ visionarytrek.com เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตา มีความหวังในการมองเห็นขึ้น ด้วยต้นแบบแว่นตาอัจฉริยะที่ชื่อว่า Smart glasses ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันทำโปรเจคท์ค้นคว้าและพัฒนาระหว่างมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และองค์กร Royal National Institute of Blind People (RNIB) โดยโปรเจคท์ Smart glasses ที่ว่านี้ยังคว้าเงินทุนจากกูเกิลจำนวน 500,000 ปอนด์ (หรือประมาณ 26.7 ล้านบาท) ได้อีกด้วย

เทคโนโลยีที่นำมาใช้กับแว่นช่วยให้ผู้พิการทางสายตาที่ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง สามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางและใบหน้าคนที่อยู่ข้างหน้าได้ดีขึ้น โดยบนเฟรมแว่นจะมีกล้องวิดีโอติดอยู่ ชิพประมวลผล และซอฟต์แวร์ที่จะแสดงภาพวัตถุที่อยู่ในระยะใกล้ ให้ปรากฏอยู่บนเลนส์แว่น
Smart Glasses' offer help to near-blind people







แนวทางการคิดราคาค่าออกแบบ จาก Menn Studio


สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึงหนังสือ Work for Money, Design for Love (ตอนที่ 3) ถึงเรื่องการคิดราคา ว่า ฝรั่งกับไทยไม่ตรงกันหลายอย่าง เลยคิดว่าขอเแชร์ประสบการณ์การคิดราคาค่าออกแบบของผมเองด้วยดีกว่า
ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กล่าวว่า การคิดราคามี 2 แบบคือ แบบต้นทุนบวกกำไร กับแบบอิงจากคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ

1. คิดราคาจากต้นทุน

ต้นทุนของนักออกแบบ หลักๆ คือค่าแรง หรือเวลาทำงานของเรา ส่วนอื่นๆ คือ ค่าคอมพิวเตอร์, ค่าซอฟต์แวร์, ค่าเช่าออฟฟิศ ฯลฯ ผมมักจะตีคร่าวๆ ว่า
ค่าแรง:เรามักอยากได้เงินเดือน 30,000 – 50,000 บาท
ค่าอุปกรณ์ไอที:ค่ามือถือ + คอมพิวเตอร์ + อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ถ้ารวมแล้ว 72,000 บาทใช้งานได้ 3 ปี จะเท่ากับเป็นค่าเสื่อมราคาเดือนละ 2,000 บาท
ค่าออฟฟิศ:ไม่ว่าจะซื้อหรือเช่า (ทั้งบ้านและออฟฟิศ) สุดท้ายตีมาเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมค่าน้ำ/ค่าไฟ/ค่าเน็ต ก็อยู่ในช่วง 5,000 – 15,000 บาท
ค่าซอฟต์แวร์:ค่า Adobe, Dropbox, Basecamp, Domain & Hosting, Google App และลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์อื่นๆ ตกประมาณเดือนละ 2,000 – 5,000 บาท(คุณอาจจะโกงส่วนนี้ก็ได้ ในไทยใครๆ ก็ทำกัน แต่สุดท้ายมันจะก่อผลเสียเป็นวงกว้างมากกว่าที่คิด ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น หลังจากยุคเวิร์ดจุฬาฯ, เวิร์ดราชวิถี เราก็ไม่มีซอฟแวร์ไทยดีๆ ใช้อีกต่อไปแล้ว เพราะคนพัฒนาเจ๊งไปหมดแล้ว, เราแทบไม่เหลือโปรแกรมเมอร์เก่งๆ แล้ว เพราะกลายเป็นผู้บริหารห่วยๆ กันหมด หรือถ้าใกล้กว่านั้น ซอฟต์แวร์ระดับโลกที่เราขโมยใช้อยู่ ก็ไม่ค่อยรองรับภาษาไทย เพราะขายคนไทยไม่ได้ – วันหลังคงได้เขียนเรื่องนี้อีกที)
ค่าความรู้เพิ่มเติม:อาชีพเราต้องพัฒนาตลอดเวลา ไม่ว่าจะจากการอ่านหนังสือ / ดูหนังฟังเพลง / เรียนออนไลน์ / ลงคอร์สต่างๆ ฯลฯ ผมคิดว่าน่าจะกันส่วนนี้ไว้ซักเดือนละ 3,000 – 6,000 บาท
ค่าภาษี:หลังจากเป็นฟรีแลนซ์ 1 ปี พบว่า ถ้าตั้งเงินเดือนตัวเอง 5 หมื่น มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 1 แสน เราจะเสียภาษีประมาณ 6 หมื่นบาท คือประมาณเดือนละ 5,000 บาท ดังนั้น อาจจะกันไว้เดือนละ 2,000 – 5,000 บาท
เมื่อเห็นต้นทุนส่วนใหญ่ของอาชีพแล้ว ผมเองมักจะประมาณว่า ถ้าจะเอาแค่พออยู่ได้ กำไรนิดหน่อย ไม่มีโบนัสอะไรนัก เราควรจะต้องหาเงินให้ได้ 2 เท่าของเงินเดือน เช่น ถ้าคิดว่าอยากได้เงินเดือน 30,000 ก็ควรต้องหาให้ได้อย่างน้อย 60,000 เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ของธุรกิจ ถ้าหามาไม่พอ แสดงว่าเราจะต้องเอาเปรียบใครบางคนอยู่ เช่นอยู่บ้านของพ่อแม่ เลยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ซึ่งอาจจะดูเหมือนดีที่ได้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สุดท้ายพ่อแม่จะเป็นห่วงว่าเราเอาตัวไม่รอด และอาจจะพยายามให้เราเลิกเป็นฟรีแลนซ์ ในขณะที่ถ้าเราเปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินเดือนให้พ่อแม่เดือนละ 1-2 หมื่น ท่านก็จะรู้สึกว่า เรามีเส้นทางของเราที่ดูแลตัวเราเองได้ และถ้าเราทำได้ต่อเนื่องยาวนาน ท่านจะเข้าใจในที่สุดว่า เป็นฟรีแลนซ์นั้นมั่นคงกว่าเป็นพนักงานบริษัทเสียอีก เพราะ การมีความสามารถนั่นแหละคือความมั่นคง

ต้นทุนต่อชั่วโมง จริงๆ แล้วราคาเท่าไหร่?

ไม่ว่าจะคิดเงินลูกค้าตามชั่วโมงทำงานหรือไม่ เราควรเข้าใจคร่าวๆ ว่า การเสียเวลาไปในแต่ละชั่วโมง เรามีต้นทุนอยู่เท่าไหร่กันแน่
ฟรีแลนซ์นั้นไม่ใช่พนักงานบริษัทที่มีข้อกำหนดการทำงาน (Job Description) ชัดเจน เราต้องเป็นทุกแผนกของบริษัท ซึ่งอย่างน้อยคือ เป็นฝ่ายขายและการตลาด, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายควบคุมคุณภาพ และฝ่ายบัญชี และเมื่อคิดว่า วันทำงานที่เหมาะสมคือ 20 วันต่อเดือน (รวมวันหยุดต่างๆ แต่ห้ามลาคลอดลาบวช) ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เราจะได้ว่า เดือนนึงต้องทำงาน 160 ชั่วโมง
ผมคิดว่า สัดส่วนงานที่ควรทำ น่าจะประมาณนี้
งานสัดส่วนต้นทุนเวลาที่ควรใช้หมายเหตุ
ขายงาน
Marketing & Sale
20%32 ชั่วโมงธุรกิจปกติมักจะกันไว้ 30% แต่ธุรกิจสมัยใหม่ที่เน้นนวัตกรรม จะเอาทรัพยากรไปทุ่มกับการทำงานมากกว่าการขาย
ทำงาน
Designer/Developer
25%40 ชั่วโมงงานออกแบบ/เขียนโปรแกรม ฯลฯ
ตรวจงาน
Art Director/Tester
25%40 ชั่วโมงทำงานแล้วไม่เผื่อเวลาตรวจ งานจะหลุดและคุณภาพแย่
พัฒนาตนเอง
R&D
20%32 ชั่วโมงอันนี้ลอกจากบริษัทไอทีต่างๆ ที่มักกัน 20% ของเวลางานไว้ทำงานอื่นๆ หรือพัฒนาตนเอง
บัญชี
Accounting
10%16 ชั่วโมงตกสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง น่าจะเพียงพอสำหรับฟรีแลนซ์ที่ไม่ค่อยชำนาญงานเอกสาร ไว้ออกใบเสนอราคา, ใบแจ้งหนี้, สรุปงบกระแสเงินสด
จะเห็นว่า เวลาที่เราคิดเงินลูกค้าได้ จะอยู่ที่ครึ่งเดียว หรือ 80 ชั่วโมงต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้นถ้าอยากได้เงินเดือน 30,000 ต้องหาเงิน 60,000 และมีค่าแรงชั่วโมงละ 60,000/80 = 750 บาท หรือถ้าอยากได้เงินเดือน 5 หมื่น ก็คือค่าแรง 1,250 บาทต่อชั่วโมง
ซึ่งเราจะคิดลูกค้าเป็นรายชั่วโมง หรือจากจำนวนการแก้งาน ก็ได้

คิดเงินรายชั่วโมง

ฝรั่งใช้วิธีคิดแบบนี้เป็นหลัก แต่เมืองไทยยากมาก ผมเองเคย คิดชั่วโมงละ 800 บาทเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พบว่ายังไม่ค่อยชอบนัก ต้องอธิบายเยอะ และวางแผนงานลำบาก งานบางอย่างง่ายบางอย่างยาก ใช้พลังชีวิตต่างกันมาก คิดเท่ากันก็ไม่คุ้ม คิดต่างกันก็ต้องไล่แจกแจงให้ลูกค้าเข้าใจ

คิดเงินจากจำนวนการแก้งาน

นักออกแบบบางคนอาจจะกำหนดจำนวนการแก้งานเป็นหลักในการคิดราคา เช่น แก้ไม่เกิน 3 ครั้ง ครั้งต่อไปคิดครั้งละ xxx บาท ซึ่งก็จะช่วยป้องกันความยืดเยื้อของงานได้ แต่จากประสบการณ์ ผมพบว่ามันทำให้ลูกค้าและเราเกร็งเกินไป ว่าตกลงแก้แบบนี้นับด้วยมั้ย? บางอย่างแก้เยอะ บางอย่างแก้น้อย พอบังคับว่าแก้ได้เท่านี้ครั้ง ก็จะเกิดการต่อรองกันไปเรื่อยๆ ไม่งั้นเค้าก็อาจจะพยายามเขียนสรุปให้ละเอียดๆ เป๊ะๆ ซึ่งอาจจะดีถ้าเราเป็นแค่คนใช้คอมที่ทำตามสั่งแล้วจบ แต่มูลค่าของงานออกแบบนั้นคือไอเดียต่างๆ ที่เราใส่ให้ต่างหาก สุดท้ายผมพบว่า แม้จะจบงานได้ แต่งานมักออกมาไม่ค่อยดี และงานต่อๆ ไป ลูกค้าสามารถหา “แรงงานคอม” ที่ราคาถูกกว่าเราไม่ยากนัก

คิดรวมๆ โดยสรุปตามชิ้นงาน

ปัจจุบันผมเลยมาลงเอยที่การคิดรวมๆ ไปเลย ไม่ต้องแยกละเอียด เพราะทำให้ลูกค้างงเปล่าๆ แต่ก็มีระบุค่าประมาณไว้ว่า งานนี้น่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ และแก้งานประมาณกี่ครั้ง เพื่ออย่างน้อยถ้างานยืดเยื้อ ก็ยังมีหลักให้ต่อรองความคาดหวังกันได้ (แต่ว่าตั้งแต่ระบุแบบนี้ ผมยังไม่เคยเจอปัญหาต้องต่อรองการแก้งานนะ) ลองดูตัวอย่างที่หน้า “สนใจทำเว็บไซต์

2. คิดราคาจากคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ

การคิดจากต้นทุน จะทำให้เราไม่เผลอตั้งราคาขาดทุนมากเกินไป (ซึ่งธุรกิจออกแบบนั้นเผลอได้ง่ายมาก และฟรีแลนซ์ไทยก็ถนัดการตัดราคาจนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตนเองกำลังได้เงินเดือนต่ำกว่ากรรมกรอยู่ ) แต่ว่านอกจากเราไม่ขาดทุน เราต้องทำงานที่สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าด้วย เพราะการจ้างเราทำงาน สำหรับลูกค้า นี่คือการลงทุนแบบหนึ่ง

ถ้าการออกแบบคือการลงทุน แล้วลูกค้าควรได้รับผลตอบแทนเท่าไหร่?

การปล่อยกู้ในไทย มักจะได้ผลตอบแทน 15-30% ต่อปี,  การทำร้านอาหาร มักจะคืนทุนใน 1-3 ปี = ผลตอบแทน 30-100% ต่อปี, การทำผับหรืออาบอบนวด (ที่ว่ากันว่าเป็นธุรกิจที่กำไรสูงอันดับต้นๆ) จะคืนทุนใน 3-6 เดือน นั่นคือผลตอบแทน 200-400% ต่อปี
ส่วนการออกแบบ เท่าที่ผมทำมา ถ้าทำให้ลูกค้าคืนทุนได้ภายใน 1 ปี ลูกค้าจะประทับใจมาก ถ้า 2 ปี จะโอเค ถ้า 3 ปี จะเฉยๆ เพราะงานออกแบบนั้นลูกค้าต้องเหนื่อยช่วยสร้างด้วย เหมือนกับเหนื่อยทำร้านอาหาร ดังนั้นผมคิดว่าคืนทุนใน 1-3 ปี เป็นตัวเลขที่เหมาะสม
ดังนั้น ผมคิดว่า ROI (Return Of Investment) ของงานออกแบบ ควรอยู่ในช่วง 30-100% ต่อปี

แล้วจะวัดยังไงล่ะ?

ถ้าเราไม่สามารถรู้กำไรจริงๆ ของลูกค้า ก็อาจประมาณว่า ธุรกิจทั่วไปมักมีกำไร 20-30% จากยอดขาย ดังนั้นถ้าเราออกแบบให้เค้า 30,000 บาท เราควรทำให้ลูกค้าได้กำไรเพิ่ม 30,000 บาทใน 1-3 ปีแรก ซึ่งหมายถึงยอดขายเพิ่มขึ้น 100,000 – 150,000 บาท นั่นเอง ดังนั้นจะเห็นว่า บางธุรกิจก็เป็นไปได้ง่ายมาก (เช่น รีสอร์ท, ร้านอาหารหรู, ร้านขาย Gadget, ฯลฯ) ในขณะที่บางธุรกิจนั้นยาก
ผมจึงมักรับทำเว็บเฉพาะที่คิดว่าเราจะทำให้เค้าทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ ถ้าดูแล้วเค้าไม่ได้กำไรตรงนี้ สู้แนะนำให้เค้าไปเปิด Fan Page หรือ ใช้เว็บสำเร็จรูป หรือไปประกาศขายของตามเว็บบอร์ดดีกว่า
และจากตัวเลข “คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ” จะทำให้เราพบว่า บางที จ้างทำเว็บ 10,000 บาท ยังอาจจะแพงไป (ถ้าเค้าขาดทุน) และจ้างทำเว็บ 100,000 บาท ยังอาจจะถูกมาก (ถ้าเค้ากำไร) การทำเว็บที่ไปตอบโจทย์ลูกค้าได้จริงๆ จึงทำให้เราและลูกค้าได้ผลตอบแทนที่ดีทั้งคู่ ดีกว่าคิดราคาถูกตามตลาด แล้วรอทำตามสั่ง ไม่ได้สร้างผลกำไรให้ลูกค้า
ดังนั้น ถ้าเราทำให้ลูกค้าทำกำไรได้ เราจะคิดค่าตอบแทนสูงได้ เพราะเราเป็น “ที่ปรึกษาทางด้านการตลาดและการออกแบบ” แต่ถ้าเราทำไม่ได้ เราจะเป็นแค่ “แรงงานคอม” ที่ในไทยอาจจะจ้างกันถูกกว่ากรรมกร

การทำสัญญาว่าจ้าง

หลังจากทำงานมาหลายราคา ผมพบว่า ถ้ามูลค่างานต่ำกว่า 1 แสนบาท ไม่ค่อยคุ้มที่จะทำสัญญาว่าจ้าง (ทั้งเค้าและเรา) เพราะต่อให้ละเมิดสัญญา ก็ไม่คุ้มฟ้องร้อง แต่ถ้ามูลค่างานเกิน 1 แสน ก็มักจะหนีไม่ค่อยพ้น
การทำสัญญาเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ต้องใช้เวลาและทักษะในการอ่านเอกสาร (รวมถึงอาจต้องปรึกษาทนาย ซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบางส่วน) ฟรีแลนซ์ส่วนมากเลยยอมเซ็นต์สัญญาที่ลูกค้าร่างมาให้ โดยลืมดูว่าตนเองอาจจะเสียเปรียบอะไรบ้าง
ประเด็นที่ควรระวัง

1. ถ้ามีการปรับเงิน ลูกค้าขอปรับเรา เราต้องขอปรับลูกค้า

การจ้างออกแบบนั้นลูกค้าก็ต้องทำงานไม่น้อยกว่าเรา เค้าต้องเตรียมข้อมูล ต้องสรุปว่าชอบไม่ชอบ จะแก้ไขอะไรต่อ ดังนั้นถ้าหากเค้าจะขอปรับถ้าเราส่งงานช้า เราต้องขอปรับถ้าเค้าส่งข้อมูลช้า / สรุปช้า / จ่ายเงินช้า เช่นกัน

2. กำหนดงานเสร็จ ไม่ควรเป็น “วัน/เดือน/ปี” แต่ควรเป็น “จำนวนวันนับจากเริ่มงาน”

การทำสัญญามักจะใช้เวลานานกว่าที่เราคิด กว่าเค้าจะตอบ ขอแก้สัญญา กว่าจะได้เซ็นต์กันทั้งสองฝ่าย บางทีกินเวลาไปเป็นเดือนๆ ซึ่งระหว่างนั้นก็ไม่มีใครเริ่มงาน แต่พอเซ็นต์เสร็จ บางทีเหลือไม่กี่วันต้องส่งงาน มันก็ทำไม่ทันหรอก ดังนั้นต้องระวังว่า กำหนดเสร็จต้องนับจากวันเริ่มงาน

3. วันเริ่มงาน ต้องนับจากหลักฐานว่าเราจะได้เงิน

ดีที่สุดคือเก็บเงินงวดแรกก่อน น้อยก็ยังดี ตีเช็คล่วงหน้าก็ยังดี เพราะมันพิสูจน์ว่า ได้เกิดการว่าจ้างแล้วจริงๆ ได้เข้าไปในระบบบริษัทลูกค้าแล้วจริงๆ ฟรีแลนซ์จำนวนมากมักจะเจอว่า “น้องทำไปก่อนเลย พี่รับผิดชอบเอง” สุดท้ายโปรเจ็คล่ม เก็บเงินใครไม่ได้ และเผลอๆ ไอ้พี่คนนั้นก็ลาออกไปแล้ว
แต่ถ้าไม่ได้งวดแรก อย่างน้อยในสัญญาควรระบุว่าจะได้เมื่อไหร่

4. เมื่อมีสัญญา ก็ต้องมีการเซ็นต์อนุมัติแต่ละงวด

เมื่อมีสัญญา ในสัญญาจะระบุว่าจะเก็บเงินแต่ละงวดได้เมื่อไหร่  ซึ่งเราก็ต้องมีหลักฐานว่า มันถึงงวดนั้นจริงๆ แล้ว โดยปกติเช่น เมื่อดีไซน์ผ่าน ถึงจะเก็บเงินได้, เมื่อเริ่มทดสอบระบบ ก็จะเก็บอีกงวด ฯลฯ เราก็ต้องมีเอกสารให้เค้าเซ็นต์อนุมัติ ถ้าไม่เซ็นต์ เราเก็บงวดนั้นไม่ได้ ก็ไม่ควรทำงวดต่อไป เพราะถ้าโปรเจ็คด่วนจริง สำคัญจริง จะมีคนผลักดันให้จ่ายเงินได้อยู่แล้ว เงินไม่ออกแปลว่าด่วนไม่จริง
ฟรีแลนซ์โดยมากมักจะทำไปเรื่อยๆ ลืมบังคับลูกค้าเซ็นต์อนุมัติแต่ละงวด ผลสุดท้ายมีใครก็ไม่รู้โผล่มาแล้วบอกว่า “ผมไม่ชอบแบบนี้ มาเริ่มกันใหม่ดีกว่า ไม่จ่ายเพิ่มนะ และถ้าช้ากว่าสัญญาเดี๋ยวปรับอีกด้วย” แว้กกกก

5. แยกแยะ “น้ำใจ” กับ “สิ่งที่รับปาก”

สิ่งที่รับปาก ต้องทำให้ได้ (ไม่งั้นงานก็ไม่จบ) แต่บางอันลูกค้าขอเพิ่ม เราต้องระบุให้ชัดว่า อันนี้รับปากทำให้ หรือเป็นน้ำใจที่อาจจะไม่ได้ทำนะ ถ้าเข้าใจตรงกัน มันก็จะจบง่าย

ฯลฯ

(ใครมีประสบการณ์อื่นๆ แชร์ในคอมเม้นท์ได้นะครับ)

แต่หลังจากผ่านงานเว็บงบ 5 พัน ถึงงบ 5 ล้าน ผมพบว่าตนเองเป็นพวกไม่ค่อยชอบโปรเจ็คใหญ่ๆ ที่ต้องมีการทำสัญญา เพราะเรามักเสียเวลากับการต่อรองมากกว่าการมาร่วมกันทำงาน ดังนั้นผมเลยเลิกรับงานราคาเกิน 1 แสนบาทไป รับราคาหลักหมื่น ขอเก็บ 30-50% ก่อนเริ่มงาน จบงานง่ายกว่า สร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้มากกว่า และมีเวลาสำหรับพัฒนาตัวเองได้เยอะกว่า

แบบฟอร์มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

แบบฟอร์มที่ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีจริงๆ คือ ใบเสนอราคา, ใบแจ้งหนี้, ใบเสร็จรับเงิน และการสรุปงบกระแสเงินสดของตัวเอง
ซึ่ง…
ขอให้ติดตามต่อในสัปดาห์หน้าละกันนะครับ จะเอาตัวอย่างฟอร์มต่างๆ มาให้ดูกัน
(ทำตัวเหมือนหนังซุปเปอร์ฮีโร่เลยเนาะ :D)




เครดิต : http://mennstudio.com/2014/design-price-cost-value/

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

100 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่เด็กจบม.ปลายควรจะต้องรู้!

บทความนี้เราจะไปรู้จักกับ 100 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ Steven Kleinedler บรรณาธิการของหนังสือพจนานุกรม American Heritage® แนะนำว่า เด็กจบมัธยมปลายทุกคนควรจะรู้ไว้ ถ้าเพื่อนๆไม่รู้คำไหน ก็ให้เปิดพจนานุกรมดูเอาเองได้เลยนะครับ แล้วเพื่อนจะจำคำนั้นได้ดีเลยหล่ะ


abjure
abrogate
abstemious
acumen
antebellum
auspicious
belie
bellicose
bowdlerize
chicanery
chromosome
churlish
circumlocution
circumnavigate
deciduous
deleterious
diffident
enervate
enfranchise
epiphany
equinox
euro
evanescent
expurgate
facetious
fatuous
feckless
fiduciary
filibuster
gamete
gauche
gerrymander
hegemony
hemoglobin
homogeneous
hubris
hypotenuse
impeach
incognito
incontrovertible
inculcate
infrastructure
interpolate
irony
jejune
kinetic
kowtow
laissez faire
lexicon
loquacious
lugubrious
metamorphosis
mitosis
moiety
nanotechnology
nihilism
nomenclature
nonsectarian
notarize
obsequious
oligarchy
omnipotent
orthography
oxidize
parabola
paradigm
parameter
pecuniary
photosynthesis
plagiarize
plasma
polymer
precipitous
quasar
quotidian
recapitulate
reciprocal
reparation
respiration
sanguine
soliloquy
subjugate
suffragist
supercilious
tautology
taxonomy
tectonic
tempestuous
thermodynamics
totalitarian
unctuous
usurp
vacuous
vehement
vortex
winnow
wrought
xenophobe
yeoman
ziggurat

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีทำเคสโทรศัพท์จากลูกโป่ง ง่ายมากๆ

เลือกลูกโป่งสีที่ชอบเป่าลูกโป่ง 





แล้วให้เพื่อนช่วยจับตรงจุกปล่อยลมไว้
จากนั้นนำโทรศัพท์มาวางไว้แบบนี้แล้วค่อยๆปล่อยลม

http://en.rocketnews24.com/

ของเล่น ใหม่ เจ็ทสกี + เจ็ท = Water Car Robotic Dolphin and Flying Water Car - In 4K! With Jetovator and Seabrea...

ว่า ด้วยเรื่องของ เตา BBQ

กระถางต้นไม้สำหรับย่างบาร์บีคิว

ด้วยพื้นที่อันจำกัด แต่การย่างบาร์บีคิวให้อร่อยนั้นต้องย่างด้วยเตาฟืนและถ่านชนิดพิเศษ Gadget ชนิดนี้จึงถือกำเนิดขึ้นมา Gadget ชิ้นนี้มีชื่อว่า Hot Pot BBQ เป็นเตาย่างอเนกประสงค์ขนาดกระทัดรัด หากไม่ได้ใช้ก็ประกอบกับฝากลายเป็นกระถางต้นไม้ ด้านล่างมีรูสำหรับเขี่ยถ่าน ตักขี้เถ้า สามารถใช้ย่างบาร์บีคิว หรือทำหม้อซุป ริมระเบียงห้อง  สนนราคาอยู่ที่ 124$ (เกือบ 4 พันบาท) ถ้าเป็นบ้านเราคงซื้อเตาถ่านได้หลายสิบเตาแน่ๆครับ ^ ^






















เตาพลังงานชีวมวล(แกลบ)โครงสร้างดินเผา








วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 199 ใบกำกับภาษีรูปแบบใหม่ บุคคลธรรมดาไม่ต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษี

ตามที่กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 196 เกี่ยวกับรูปแบบใบกำกับภาษีแบบใหม่ โดยจะผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2557 แต่ได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยสาระสำคัญในใบกำกับภาษีรูปแบบใหม่นี้จะต้องมีระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อหรือผู้รับบริการลงในใบกำกับภาษีด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีข้อดีในแง่ของการตรวจสอบ แต่ไม่สะดวกกรณีที่บุคคลธรรมดาจะซื้อสินค้าหรือบริการ จะต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ซึ่งเป็นเลขเดียวกับบัตรประชาชน) ทางกรมสรรพากรจึงได้ออก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับที่ 199
ข้อ 7 ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้จัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ไว้ในใบกำกับภาษีนั้น โดยข้อความดังกล่าวจะตีพิมพ์ จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ประทับด้วยตรายาง เขียนด้วยหมึก พิมพ์ดีด หรือทำให้ปรากฏขึ้นด้วยวิธีการอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกันก็ได้ ทั้งนี้ สำหรับการจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้จัดทำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป
โดยเนื้อหาที่สำคัญในประกาศฉบับนี้ คือ ให้ระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ดังนั้นกรณีที่ไปซื้อสินค้า และต้องการให้ออกใบกำกับภาษีในนามของบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งประจำตัวผู้เสียภาษีอีกต่อไป

เนื่องจากบุคคลธรรมดาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะไม่สามารถนำภาษีซื้อ ภาษีขาย ไปหักลดหย่อนใดๆ ได้ จะใช้ได้แต่เพียงเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการเท่านั้น ส่วนผู้ประกอบการที่จดทะเบียนมีสิทธิในการนำใบกำกับภาษีให้เครดิตภาษีได้ สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนก่อนที่จะรับใบกำกับภาษี จะต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และตรวจสอบให้ถูกต้องด้วย  มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำไปเครดิตภาษีได้



สรุป สาระสำคัญ
ตามข้อ 3,6 และข้อ7 ที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมในใบกำกับภาษี


ที่มา businesssoft.com/blog/?p=1726

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

เทคนิคการทำ "น้ำอัดลมเรืองแสง"

พอดีวันนี้เราไปเจอของเล่นสนุกๆ มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันอีกแล้ว
กับทริปเล็กๆ ของวิทยาศาสตร์ ในการเปลี่ยนน้ำอัดลม (Mountain Dew)
ให้เป็นน้ำเรืองแสง
หลังจากคราวที่แล้ว เราได้เสนอการทำ "ระเบิดโค้ก" กันไปแล้ว
คราวนี้เราจะพาไปดูการทำน้ำอัดลม Mountain Dew ให้เรืองแสงได้
แต่ไม่รู้ว่า.. จะได้ผลจริงรึเปล่านะค่ะ ถ้าอยากรู้เพื่อนๆ ต้องลองนำไปทำดู
กับเทคนิคอันนี้ ^____^
เพียงแค่มีส่วนผสมดังนี้.....
1. นำน้ำอัดลม Mountain Dew ของเพื่อนๆ เทออกจากขวดให้เหลือ
เพียงเล็กน้อย (ที่เหลือก็กินซะเสียดาย)
2. นำ Baking soda, Baking powder หรือ ผงฟู ใส่ลงไปในขวดเพียงเล็กน้อย
3. เท Peroxide หรือ  Hydrogen Peroxide  (ที่ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค, ยากัดสีผมให้เหลือง)
ลงในขวดน้ำอัดลมสัก 3 ฝา
4. เขย่าให้ส่วนผสมเข้ากัน .... ปิ๊ง .... "น้ำอัดลมเรืองแสง"
หากยัง...งง...สงสัยอยู่ลองดูคลิปวิธีทำเพิ่มนะจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

16 ผักสวนครัวที่กินแล้วสามารถนำไปปลูกต่อได้ใหม่

       ผักสวนครัวสุดเจ๋ง ที่สามารถนำบางส่วนมาปลูกใหม่ได้ เรามาปลูกผักสวนครัวกินเองที่บ้าน แบบปลอดสารพิษกันเถอะ

          เชื่อว่าหลายคนเคยลองนำรากหรือหน่อของผักสวนครัวไปปักดิน เพื่อหวังให้ผักชนิดนั้น ๆ เติบโตขึ้นมาเป็นผักสวนครัวภายในบ้านให้เรามีกินตลอดไป ซึ่งก็ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนไปเท่านั้น แต่การมีแปลงผักสวนครัวในบ้านก็ยังเพิ่มกิจกรรมดี ๆ ให้ครอบครัวได้มีเวลาร่วมกันมากขึ้น ที่สำคัญทุกคนในบ้านยังได้กินผักปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน แถมไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อผักจากตลาดกันด้วย เอาล่ะ ! เกริ่นมาซะขนาดนี้ก็อยากแนะนำ 10 ผักสวนครัวที่กินแล้วสามารถนำไปปลูกต่อได้ใหม่ จะได้ลองปลูกผักสวนครัวภายในบ้านไว้กินกันนาน ๆ เนอะ

 1. กระเทียม

          กระเทียมที่ถูกทิ้งไว้นาน ๆ มักจะงอกหน่อสีเขียวออกมาให้เห็น และคนส่วนมากก็มักจะคิดว่ากระเทียมเสียก็เลยนำไปโยนทิ้งซะอย่างนั้น ทั้งที่จริงแล้วหากเรานำกระเทียมไปแช่น้ำต่ออีกสักพัก รอให้หน่อสีเขียวงอกยาวพอประมาณ เราจะสามารถตัดเอาหน่อสีเขียว ๆ มากินได้ โดยรสชาติจะออกขมน้อยกว่ากระเทียม หรือจะตัดเอาไปผัดน้ำมันเหมือนผัดต้นหอมก็ได้นะคะ

 2. หัวแครอท

          หัวแครอทที่ถูกเฉือนทิ้งสามารถนำมาแช่น้ำแล้วนำไปวางข้างหน้าต่างที่มีแดดส่อง รอสักระยะจะมีต้นเขียว ๆ ลักษณะคล้ายผักชีงอกออกมา ซึ่งสามารถนำไปตกแต่งจานแทนผักชีได้เลยล่ะ

 3. โหระพา

          หลังจากเด็ดใบโหระพาไปกินหมดแล้ว ให้นำก้านไปปักลงในกระบะทราย โดยผสมแกลบชื้น ๆ เข้าไปด้วย จากนั้นก็รดน้ำและดูแลต่อประมาณ 7 วัน รากของโหระพาจะงอกออกมา ทีนี้ก็ค่อยย้ายโหระพาไปปลูกลงแปลงในสวนที่บ้าน ส่วนการดูแลโหระพาก็รดน้ำพอชุ่มทุกวัน แต่อย่าให้น้ำขังก็พอ


 4. กะเพรา

          กะเพราก็ปลูกง่ายไม่ต่างจากโหระพาเลยค่ะ เพียงแค่นำก้านที่ริดใบออกไปหมดแล้วไปปักลงในกระถางดินร่วน หรือจะลงแปลงปลูกลงในดินโดยตรงเลยก็ได้ หลังจากนั้นก็รดน้ำเช้าเย็นพอให้ชุ่ม ก็รอเวลาที่กะเพราจะงอกออกมาใหม่ได้เลยจ้า

 5. ผักกาดหอม

          ก้านผักกาดหอมที่เหลืออยู่นิด ๆ ลองนำไปแช่น้ำให้ระดับน้ำสูงท่วมรากผักกาดประมาณ ½ นิ้ว จากนั้นนำโหลแช่ผักกาดหอมไปวางข้างหน้าต่างที่แดดส่องถึงประมาณ 2 อาทิตย์ ผักกาดหอมจะค่อย ๆ งอกออกมา แต่ถ้านานกว่านั้นประมาณ 3-4 อาทิตย์ ผักกาดหอมจะโตเต็มที่เหมือนซื้อมาใหม่เลย


 6. หอมหัวใหญ่

          ตัดเอาเฉพาะรากหัวหอมไปปักลงในกระถางดินร่วน รดน้ำเช้า-เย็นและรอประมาณ 2-3 สัปดาห์พอให้รากแข็งแรง คราวนี้ก็จัดการลงแปลงปลูกได้เลยจ้า

 7. ต้นหอม

          ต้นหอมก็ใช้วิธีการแช่รากกับน้ำประมาณ 5 วัน พอให้รากขยายสาขาออกมาเยอะ ๆ พร้อมทั้งส่วนใบของต้นหอมก็จะงอกออกมาให้เราได้ตัดไปกินต่อ เห็นไหมล่ะว่าปลูกใหม่ง่ายนิดเดียวจริง ๆ

 8.ขิง

          การปลูกขิงไม่ต่างจากหอมหัวใหญ่เลยสักนิดค่ะ แต่อาจจะต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ 2-3 เดือนถึงจะรากแน่นพอที่เจริญเติบโตต่อไปได้ แต่ถ้าจะให้เป็นแง่งจริงจังต้องรอนานประมาณ 10 เดือนขึ้นไปเลยทีเดียว

 9. เห็ด

          ใครว่าเพาะเห็ดต้องใช้กรรมวิธีการซับซ้อน เพราะเพียงแค่ผสมดินกับกากกาแฟบดเข้าไปในปริมาณเท่า ๆ กัน จากนั้นก็นำเห็ดลงไปจิ้ม รดน้ำให้ชุ่มและปลูกในที่ชื้น รอประมาณ ​2-3 วันเห็ดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ง่าย ๆ

 10. ผักชี

          หากไม่ได้นำรากผักชีไปโขลกเป็นส่วนผสมในอาหารก็นำมาแช่น้ำพอให้รากงอกขึ้นมายาวพอจะไปปักลงในกระถางได้ จากนั้นรดน้ำต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ เราก็จะมีต้นผักชีเอาไว้รับประทานแบบสดใหม่สุด ๆ


       

11. ฟักทอง หลังใช้ฟักทองทำอาหารแล้ว ส่วนของเมล็ดฟักทอง ให้นำเมล็ดไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำเมล็ดฟักทองไปหว่านลงบนดิน ที่มีแสงแดดรำไรส่องถึง รดน้ำ เพียงไม่กี่วันกล้าอ่อนของต้นฟักทองก็จะค่อยๆ งอกออกมา


12. ถั่วงอก
 ใครๆ ก็ทราบว่าเป็นผักที่ปลูกง่าย โตเร็ว เพียงแค่นำเมล็ดถั่วเขียวไปแช่น้ำ ทิ้งไว้ข้ามคืน วันรุ่งขึ้นเทน้ำออกจากภาชนะที่คุณนำเมล็ดถั่วไปแช่ จากนั้นนำเมล็ดถั่วเหล่านั้นไปใส่ไว้ในภาชนะที่ต้องการปลูก แล้วคลุมทับด้วยผ้าเช็ดตัวหมาดๆ เพื่อกักเก็บความชื้นให้มัน หลังจากนั้นเฝ้าดูการเจริญเติบโต และคอยสังเกตขนาดของลำต้นว่าใช้สำหรับทำอาหารที่คุณคิดเมนูเตรียมไว้ได้หรือยัง

13.สัปปะรด



ผลไม้รสชาติดีที่เราปลูกทานเองได้ ไม่ต้องไปซื้อให้เสียดายสตางค์ ง่ายๆ ค่ะเพียงซื้อสัปปะรดจากตลาด โดยเลือกพันธุ์ดีๆ จากนั้นใช้มีดตัดจุกสัปปะรดออก แล้วนำหัวสัปปะรดไปแช่ในภาชนะบรรจุน้ำ ที่มีขนาดพอดีกับหัวสัปปะรด เพียงไม่กี่วัน รากของมันก็จะงอกออกมาจากส่วนที่เราตัด แล้วนำไปปลูกลงในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ดูแลสักประมาณ 1 เดือน รากจะเริ่มแข็งแรง จากนั้นคอยบำรุง ใส่ปุ๋ย เพียงเท่านี้ก็ได้สัปปะรดพันธุ์ดีกินสมใจ

15.พริก 

เราจะปลูกด้วยเมล็ดแก่ที่เก็บเอาไว้ แต่ต้องมีการเตรียมดินให้มีธาตุอาหารที่เพียงพอ หลังจากนั้นก็รองด้วยปุ๋ยหมักในก้นหลุมที่ปลูก ถ้าเป็นกระถางก็รองที่ก้นกระถางก่อนที่จะเอาดินที่มีธาตุอาหารมาใส่ในกระถาง จากนั้นรดให้ดินชุ่ม ก่อนขีดเส้นลงไปในดินเป็นเส้นตรงซักหนึ่งเส้น แล้วใส่เมล็ดลงเล็กน้อย จากนั้นเอาฟางคลุมและรดน้ำตามอีกครั้ง

16.มะเขือเทศ 



คุณสามารถปลูกมะเขือเทศ โดยหว่านเมล็ดของมันไว้บริเวณไหนก็ได้ เมื่อต้นอ่อนของมันขึ้นมาก็สามารถนำกล้านั้นไปเพาะลงกระถาง เมื่อความสูงของกล้าประมาณ 2 นิ้ว ก็นำต้นออกมาไว้ด้านนอก หมั่นดูแล รดน้ำประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพียงไม่นานคุณก็จะได้มะเขือเทศผลงามๆ ไว้ทานสมใจ

ผักสวนครัวที่กินกันเป็นประจำเหล่านี้ถ้าได้ปลูกเองที่บ้านก็คงมีกินมีใช้กันเพลิน ๆ แบบไม่ต้องเสียเงินซื้อสักบาท ที่สำคัญลดความเสี่ยงจากสารเคมีสารพัดชนิดไปในตัวด้วยเนอะ