วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หยุดทำร้ายลำไส้ด้วยโยเกิร์ต //โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว


หยุดทำร้ายลำไส้ด้วยโยเกิร์ต ! 


เคยมีคนบอกมาเหมือนกันว่า ให้ทำโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว เพราะทานแล้วช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดไขมันหน้าท้อง แต่ก็ต้องมาเหยียบเบรกเอี๊ยดอ๊าดกันก็คราวนี้ พบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "กับดักสุขภาพ 11 ประการ (รู้ให้ทัน ก่อนตกเป็นเหยื่อ) เขียนโดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ ขออนุญาตนำมาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ทราบความจริงกัน
อ่านแล้ว ก็ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญานกันเองนะคะ
"ผม" ในที่นี้ หมายถึง "นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล" นะคะ
สูตรโยเกิร์ต + มะนาว + น้ำผึ้ง แก้ท้องผูก
มีสูตรบำบัดอาการท้องผูกอยู่สูตรหนึ่ง ซึ่งระยะหลังเห็นนิยมกันแพร่หลาย โดยแนะนำกันว่าให้ใช้โยเกิร์ตผสมมะนาวบวกเข้ากับน้ำผึ้ง กินแล้วระบายดี ถ่ายสะดวก
ผมได้ยินมานาน ได้แต่เฝ้าระวังด้วยใจระทึก เพราะนั่นไม่น่าจะเป็นสูตรที่ดีเลยสำหรับการแก้ปัญหาท้องผูก ผลร้ายน่าจะมากกว่าผลดีก็ได้แต่เตือน ๆ กันไปแก่คนใกล้ชิดหรือผู้รักสุขภาพที่เดินเข้าออกเพื่อมาปรึกษา ปัญหาสุขภาพ
แน่นอนว่า การกินทั้งโยเกิร์ต ใส่มะนาวและน้ำผึ้งย่อมเกิดการระบายถ่ายท้องกว่าร้อยละเจ็ดแปดส ิบของคนที่กิน เพราะมะนาวมีทั้งกรดมะนาว ทั้งวิตามินซีอยู่พอควร ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้อยู่แล้ว ส่วนน้ำผึ้งที่ใส่เข้าไปในสูตรนี้ก็คงหวังรสหวานมากลบรสเปรี้ยว ของทั้งมะนาวและโยเกิร์ต แถมน้ำผึ้งยังมีแว็กซ์อยู่จำนวนไม่น้อย แว็กซ์หรือขึ้ผึ้งที่มีปะปนอยู่ในน้ำผึ้ง ช่วยการระบายอีกส่วนหนึ่ง
แต่เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้สูตรนี้มีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ความหวานจากน้ำผึ้งที่ใส่เข้าไป ธรรมชาติของความหวานในน้ำผึ้งก็คือความหวานของน้ำตาลนั่นเอง การผสมน้ำผึ้งเข้าไปเพื่อสร้างความกลมกล่อม อาจทำให้ผู้บริโภคสบายใจ นึกว่าได้ความหวานจากธรรมชาติแทนการกินน้ำตาล แต่แท้ที่จริงแล้วแคลอรี่จากความหวานของน้ำผึ้งก็ใกล้เคียงกับแ คลอรี่จากความหวานของน้ำตาลเช่นกัน กินน้ำผึ้งไม่ได้ปลอดภัยกว่าการกินน้ำตาลแต่อย่างใด
ความหวานของน้ำผึ้งเข้มข้นมีอานุภาพถึงกับเปลี่ยนธรรมชาติของโป รตีนที่มันสัมผัสด้วย (de-nature) ทำให้โปรตีนจับก้อน ถ้าเป็นโปรตีนของแบคทีเรีย แบคทีเรียที่สัมผัสถูกน้ำผึ้งก็ตายได้ ดังนั้นเราสามารถใช้น้ำผึ้งทาแผลเปื่อย โดยน้ำผึ้งจะฆ่าเชื้อโรคบริเวณแผลนั้นได้ดี แต่น้ำผึ้งก็จะทำให้โปรตีนของเนื้อเยื่อตรงนั้นเปลี่ยนไปจากธรร มชาติด้วย
ด้วยเหตุผลเดียวกัน คนจีนสมัยก่อนจึงใช้น้ำผึ้งดองเนื้อเยื่อ กล่าวกันว่า ที่แต้จิ๋วเคยเกิดการวิวาทกันระหว่างคนแซ่ลิ้มกับคนแซ่แต้ จากการทะเลาะก็ถึงขั้นลงหมัด แล้วก็ใช้มีดดาบ คมทวนรบพุ่งกัน ภายหลังหญิงแซ่แต้ที่ใจนักเลงก็เข้าสนามรบด้วย โดยลากปืนคาบศิลาซัดใส่ชายแซ่ลิ้มที่ฆ่าพี่ชายของตน ผลก็คือต่างฝ่ายต่างตายฝ่ายละหลายศพ พวกแซ่ลิ้มซึ่งเป็นตระกูลใหญ่แต่ใจนักเลงน้อยกว่า ไปหาผู้ใหญ่แซ่ตั้งมาเจรจาหย่าศึก มีการแลกเปลี่ยนศีรษะของคู่อริที่ตัดมาไว้เวลารบชนะ คืนให้แก่ญาติพี่น้องของอีกฝ่ายหนึ่ง ศีรษะเหล่านั้นล้วนดองไว้มิให้เน่าเปื่อยในโหลน้ำผึ้งครานั้น ฝ่ายแซ่แต้เหยียดหยามชาวแซ่ลิ้มถึงกับปลอมแปลงเอาหัวสุนัขดองใส ่ไว้ในโหลน้ำผึ้งส่งไปให้แก่ญาติพี่น้องคนแซ่ลิ้ม เมื่ออีกฝ่ายเปิดเจอถึงกับบันดาลโทสะกรีฑาทัพตระกูลลิ้มเข้าห้ำ หั่นกันนองเลือดอีกหนใหญ่
น้ำผึ้งเข้มข้นดองเนื้อเยื่อได้ถึงขนาดนั้น ในทางยาไทยจึงไม่แนะนำให้กินน้ำผึ้งพร่ำเพรื่อ เพียงกินวันละ 1 ช้อนชา โดยส่วนใหญ่ใช้ปั้นยาลูกกลอน
2. โยเกิร์ต เป็นสิ่งบริโภคที่ไม่พึงประสงค์สำหรับชนชาวเอเชีย เหตุเพราะโยเกิร์ตก็คือผลิตผลของนมวัว ซึ่งคนเอเชียร้อยละ 50 - 80 แพ้โปรตีนในนม (ตัวเลขของเปอร์เซ็นต์แตกต่างกันตามงานวิจัย) เรื่องนมวัวก่อให้เกิดภูมิแพ้มีงานวิจัยรองรับมาเนิ่นนานนับสิบ ๆ ชิ้นทั้งจากต่างประเทศ และจากผู้รู้ในประเทศไทย อาทิ ชมรมรณรงค์เพื่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เปิดเผยว่านมและผลิตภัณฑ์นมวัวทำให้เด็กไทยป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เ ป็นจำนวนมาก การรณรงค์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในช่วง 5 ปีหลัง เกิดการสัมฤทธิ์ผลขึ้นอีกมาก หลังสุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ศกนี้ หนังสือพิมพ์ข่าวสดลงข่าว ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน กล่าวในพิธีเปิดกิจกรรมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยมีใจความว่า ให้คุณแม่บริโภคนมวัวให้น้อยลง เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่ออาการภูมิแพ้ในเด็ก
อย่างไรก็ดี การกินโยเกิร์ตก็ทำให้คนกินเกิดอาการระบายถ่ายท้องนั่นเป็นของแ น่ แต่หาใช่จะเป็นเรื่องดีแต่อย่างใดไม่ เพราะนั่นคือปฏิกิริยาภูมิแพ้ของผู้บริโภคคนนั้นต่อโปรตีนนนมวั วนั่นเอง พูดง่าย ๆ ว่า พอคนที่แพ้นมวัวกินโยเกิร์ตเข้าไป โปรตีนนมวัวก็ทำให้เยื่อบุลำไส้ของคนนั้นเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ข ึ้นมา เซลล์เยื่อบุจะเกิดภาวะบวมน้ำ แล้วปล่อยสารคัดหลั่งออกมาเป็นจำนวนมากด้วยความระคายเคือง เกิดเป็นปริมาณน้ำจำนวนหนึ่งออกมาอยู่ในทางเดินลำไส้ แล้วก็ขับถ่ายเป็นน้ำเหลว ๆ ออกไป
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ให้นึกถึงเยื่อบุตาของเรา เวลาโดนควันไฟ เราจะแสบตามาก แล้วมีน้ำตาไหลพรากออกมา ลำไส้ของคนเราที่แพ้นมวัวหรือโยเกิร์ตก็เกิดการระคายเคืองแล้วห ลั่งน้ำแห่งการระคายเคืองออกมานั่นเอง เพียงแต่ว่าลำไส้ของเราไม่มีประสาทรับรู้อาการปวดแสบ เราจึงไม่รู้สึกรู้สา ไม่เหมือนกับตาของเราเวลาถูกควันไฟ แต่ขอให้เจ้าตัวรับทราบว่า โยเกิร์ตกำลังสร้างความระคายเคืองอย่างแรงกับลำไส้ของคุณ
ถ้าปล่อยให้ระคายเคืองซ้ำ ๆ อยู่เช่นนั้นเรื่อย ๆ ในที่สุดภูมิต้านทานจะเพี้ยนไปทุกที่ คนที่ท้องผูกนั้นก็จะไต่ระดับอาการแพ้จากแค่ลำไส้ระคายเคือง กลายเป็นลมพิษ ผื่นคัน ไปจนถึงหอบหืด หรือเกิดภูมิเพี้ยนกับเยื่อบุลำไส้กลายเป้นโรคลำไส้เรื้อรังได้ อีกเยอะ
3. การกินสูตรนี้แล้วระบายท้อง เป็นการบิดเบือนประเด็นปัญหาของคนท้องผูก เพราะแท้ที่จริงท้องผูกจะแก้ไขได้ ต้องกินอาหารเส้นใยให้มาก กินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ ถ้าคนท้องผูกมาถึ่งพาการกินโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งมะนาวกันอย่างง่า ย ๆ จึงเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด สุดท้าย ลำไส้ของคนผู้นั้นอาจเกิดโรคอีกมากจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ขอ งเจ้าตัว
ผมติดตามผลร้ายของการโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งมะนาวมานาน จนกระทั่งมาพบหลักฐานการเกิดผลร้ายอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการตรวจ dark field เมื่อไม่นานมานี้เอง เรื่องมีอยู่ว่าคุณศรีรัตน์ อดีตกรรมการชมรมอยู่ร้อยปีฯ ท่านหนึ่ง เธอเป็นคนชอบลองเรื่องใหม่ ๆ อยู่เรื่อย เธอเคยตรวจ dark field ดูภาพลักษณ์ของเม็ดเลือดเมื่อ 2 เดือนก่อน ปรากฎผลเป็นที่น่าภาคภูมิใจได้ว่า เธอมีเลือดที่สะอาดหมดจดจากสิ่งตกค้างทั้งหลาย เพราะเธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาตามวัฒนธรรมไทยมาตลอด ดังที่ชมรมอยู่ร้อยปีฯ เคยแนะนำมาตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา
จนเมื่อไม่นานที่ผ่านมา เธอบอกผมว่า "อ่านผลเลือด dark field ให้พี่หน่อยซิ"
ผมดูภาพเลือดของเธอด้วยความแปลกใจ "พี่ไปทำอะไรมาน่ะ"
ผมถามเธอเพราะที่ผ่านมามั่นใจมากกว่า เธอดำเนินชีวิตกินอยู่อย่างไทยอย่างเหมาะสมมาโดยตลอด แต่ภาพที่ปรากฎต่อหน้าผมกลับเป็นภาพที่มี chylous คือคราบไขมันที่กำลังจะจับตัวเป็นก้อน รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ มากมาย ผิดกับเลือดของเธอเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว
พี่ไปกินโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งมะนาวมา...อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง" เธอสารภาพ "มันก็ระบายท้องดีนะ แต่พี่ไม่คาดคิดเลยว่า ในเลือดจะเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่พี่กินอาหารตามแบบเดิมมาตลอด"
"แล้วระดับไขมันเลือดของพี่เป็นยังไง"

"ไขมันเลือดก็สูงด้วยแหละ จากเดิมต่ำกว่า 200 แต่พอกินสูตรนี้ได้เดือนที่สอง โคเลสเตอรอลก็สูง 260 มก. % แล้ว พี่เลยอยากรู้ภาพเลือดของตัวเอง เห็นอย่างนี้เชื่อแล้วละว่า สูตรนี้น่ากลัวจริง ๆ คงมีคนหลงผิดอีกเยอะ หมอช่วยเอาไปเขียนบอกชาวบ้านชาวเมืองด้วยซิ เห็นเผยแพร่กันกว้างมาก"
ก็เหมือนที่บอกค่ะ ทุกท่านต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านนะค่ะ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความเห็นของนายแพทย์ท่านนึง เก็บมาฝากค่ะ ด้วยความรัก ความห่วงใยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: